บทสรุป 10 ข้อ หลังศึกไทยลีก 2017 เลกแรกจบไปเรียบร้อย
สำหรับศึกไทยลีก 2017 แม้จะจบเลกแรกกันไปแล้ว แต่กระนั้นก็ยังมีเกมตกค้างเหลือยู่อีก 2 คู่ นั่นก็คือเกมบิ๊กแมตช์ระหว่าง เอสซีจี เมืองทองฯ ที่จะเปิดบ้านรับมือกว่างโซ้ง เชียงราย ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นเกมที่ทุกคนรอคอย โดยจะไปเล่นกันในวันศุกร์ที่ 2 มิ.ย.นี้ ส่วนอีกเกมคือคู่ระหว่าง สุโขทัย เอฟซี พบ บีอีซี เทโร ศาสน ที่โยกมาจากเกมเมื่อวันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่านมา หลังคู่นี้เล่นกันไป 12 นาทีแล้วเกิดฝนตกลงมาอย่างหนัก โดยคู่นี้ก็จะไปหวดต่อเวลาที่เหลือกันในวันที่ 1 มิ.ย.นี้
อย่างไรก็ดีแม้จะยังมีเกมตกค้างอย่างที่ว่าไปแล้วนั้น แต่ภาพรวมต่างๆ ในครึ่งซีซั่นที่ผ่านมา ก็พอจะสรุปในเบื้องต้นได้พอสมควร และนี่คือบทสรุป 10 ข้อ ที่เกิดขึ้นในครึ่งฤดูกาล 2017 ที่เพิ่งจะจบลงไป
1.บุรีรัมย์ นำจ่าฝูงชั่วคราว
หลังจบ 17 เกมในเกลแรกปรากฏว่าเป็นทีม "ปราสาทสายฟ้า" บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อดีตแชมป์เก่าสี่สมัย ที่ปาดหน้าแซงเอสซีจี เมืองทองฯ ขึ้นไปจบด้วยตำแหน่งจ่าฝูงแบบชั่วคราว แม้ทีมกิเลนผยอง จะมีเกมตกค้างกับเชียงราย ในวันที่ 2 มิ.ย.ซึ่งถ้าชนะได้ก็จะมี 37 คะแนนเท่ากัน ก็มีโอกาสจะกลับขึ้นไปนำเป็นจ่าฝูง ซึ่งก็ต้องรอดูผลการแข่งขันวันที่ 2 มิ.ย.นี้
แต่ถ้าจบลงด้วยผลการแข่งขันอื่น ไม่ว่าเมืองทองฯ จะเสมอกับเชียงราย หรือกว่างโซ้งบุกเก็บ 3 แต้ม ก็จะทำให้บุรีรัมย์ คว้าแชมป์เลกแรกไปครอง ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็ถือว่าเหมาะสม เพราะเมื่อไปดูที่ผลงานการเจอกันของ 3 ทีมลุ้นแชมป์ บุรีรัมย์,เมืองทอง,เชียงรายฯ ทีมสายฟ้านั้นเอาชนะได้หมดเลย ส่วนสุดท้ายปลายทางจะคว้าแชมป์ได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับผลงานในเลกสองอีก 17 เกมที่เหลือ
2.บอสโควิช นำดาวซัลโว
ขณะที่ตำแหน่งดาวซัลโวก็ตกเป็นของ ดราแกน บอสโควิช ดาวยิงมอนเตเนโกร ของทีมแข้งเทพ แบงค็อก ยูไนเต็ด ที่ซัดไปถึง 16 ประตู ตามมาด้วย ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต ของบุรีรัมย์ ที่กลับมาคืนฟอร์มเก่งอีกครั้งยิงไปแล้ว 14 ประตู เท่ากับ เรนัน มาเกวซ หัวหอกจอมเก๋าของชลบุรี และตามมาด้วย จาจ้า ของบุรีรัมย์ กับ เอสซอมเบ้ ของราชบุรี ที่ยิงไป 13 ประตูเท่ากัน ซึ่ง 12 อันดับแรกก็เป็นต่างชาติทั้งหมด ซึ่งนักเตะไทยที่ยิงได้เยอะสุดตอนนี้คือ ธีรศิลป์ แดงดา ของเอสซีจี เมืองทองฯ ที่ยิงไป 10 ประตู อยู่อันดับที่ 13
3.ยิงรวมเยอะสุดในหนึ่งเกม 8 ประตู
การแข่งขันเลกแรกที่ผ่านมีมีอยู่สองคู่ที่มีสกอร์เกิดขึ้นรวมแล้วเยอะที่สุดคือ 8 ประตู นั่นก็คือ เกมระหว่าง แบงค็อก ยูไนเต็ด ที่เปิดบ้านถล่มการท่าเรือ ไป 6-2 เมื่อวันที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมา ส่วนอีกคู่เป็นเกมระหว่าง การท่าเรือ ที่เปิดบ้านชนะ ซุปเปอร์ พาวเวอร์ 5-3 เมื่อวันที่ 21 พ.ค.ที่ผ่านมา
4. สกอร์ขาดสุด 6-0
ส่วนผลการแข่งขันที่ชนะกันแบบขาดลอยที่สุดตกเป็นของเกมคู่ระหว่าง บางกอกกล๊าส เอฟซี ที่เปิดบ้านถล่มศรีสะเกษ เอฟซี ไป 6-0 เมื่อช่วงต้นฤดูกาลวันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา โโยเกมนั้น บางกอกกล๊าส ได้ประตูจาก จาสมานี่ คัมโปส น.30,โตติ น.45,อาเรียล โรดริเกวซ น.66 , 69 และ โตติ น.88
5. แฟนเยอะสุด
สำหรับเกมการแข่งขันที่มีแฟนบอลเข้าไปชมเกมในสนามเยอะที่สุด ก็เป็นเกมซูเปอร์บิ๊กแมตช์ระหว่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด พบกับ เอสซีจี เมืองทองฯ ที่ไอ-โมบาย สเตเดี้ยม เมื่อวันที่ 3 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยเกมนั้นสายฟ้าชนะไป 2-0 มีแฟนบอลเข้าไปชมเกมในสนามทั้งหมด 32,600 คน
รองลงมาคือเกมระหว่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กับ ชลบุรี เอฟซี นัดเปิดฤดูกาล เมื่อวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมา ที่สนามไอ-โมบาย สเตเดี้ยม เช่นเดียวกัน โดยคู่นี้จบ 2-2 มีแฟนบอลเข้ามาชมเกมทั้งสิ้น 29,891 คน
ส่วนเกมที่มีแฟนบอลเข้าชมน้อยที่สุดในเลกแรกที่ผ่านมา ไม่นับคู่เมืองทองฯ พบท่าเรือ ที่แฟนบอลโดนแบน ก็เป็นเกมระหว่าง ซูเปอร์ พาวเวอร์ พบกับ ไทย ฮอนด้า ลาดกระบัง เอฟซี เมื่อวันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่านมา ที่สนาม กกท.บางพลี เกมนั้นจบด้วยชัยชนะของทีมเยือน 1-0 โดยมีแฟนบอลทั้งสิ้นตามรายงาน 300 คนถ้วน
6. แบงค็อก ทีมจอมถล่มประตู
ถ้าพูดถึงทีมที่เป็นจอมถล่มประตูในเลกแรกก็ต้องยกให้ "แข้งเทพ" แบงค็อก ยูไนเต็ด ของ มาโน่ โพลกิ้ง ที่ซัดไปถึง 45 ประตู เฉลี่ยเกมนึงตกอยู่ที่ 2.6 ประตู แต่ถ้าไปดูสถิติแบบรายนัดแข้งเทพยิงบางเกมก็ 5-6 ประตู เรียกได้ว่าฟอร์มโหดมาก
7. พลิกล็อค!! สุดๆ
ส่วนเกมที่เรียกได้ว่าพลิกล็อคสุดๆ ก็คงจะเป็นเกมไหนไปไม่ได้ นอกจากเกมที่ ไทย ฮอนด้าฯ ทีมน้องใหม่เปิดบ้านเฉือนชนะแชมป์เก่าเมืองทองฯ ไป 1-0 เมื่อวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา จากลูกยิงของ ถวิล บุตรสมบัติ น.16 ซึ่งก่อนหน้านั้นกิเลนผยองเพิ่งจะแพ้ไปเกมเดียวต่อบุรีรัมย์ แต่เมื่อมาแพ้ให้ทีมไทยฮอนด้า จากนั้นก็เป๋ยาวแพ้ต่อน้องใหม่อีก 2 เกมถัดมากับ การท่าเรือ และ อุบลฯ
ขณะที่ทีมไทยฮอนด้าฯ เองก็ถือว่าเป็นทีมจอมล้มยักษ์ทีมนึงเลย แม้ผลงานโดยรวมจะไม่สู้ดีนักยังอยู่กลุ่มท้ายตารางแต่ที่ผ่านมาพวกเขาก็ทำแสบกับทีมใหญ่มาแล้วหลายทีมนอกจากเมืองทองฯ ก็ยังมี แบงค็อก ที่พวกเขาเอาชนะได้ รวมทั้งบางกอกกล๊าส เอฟซี ก็เคยโดนอินทรีอัคนีบุกไปเล่นงานมาแล้ว
8. ความมันส์ระดับ 5 ดาว
ถ้าพูดถึงเกมที่เล่นกันดุเดือด มันส์ตลอด 90 นาที ระดับ 5 ดาว 10 กะโหลก ก็ต้องยกให้คู่นี้เลย ราชบุรี มิตรผล เอฟซี บุกไปเซอร์ไพรส์เอาชนะบุรีรัมย์ ได้ถึงถิ่น 4-3 แบบโครตมันส์ เมื่อวันที่ 7 พ.ค.60 โดยเกมนั้นทีมราชันมังกร สร้างเซอร์ไพรส์แรกด้วยการบุกไปนำเซราะกราว 3-0 ตั้งแต่ 18 นาทีแรก ชนิดที่ไม่มีใครเชื่อและคิดมาก่อนว่ามันจะเกิดขึ้นได้ โดย 3 ประตูมาจาก สมปอง สอเหลบ น.10 ,ทากาฟูมิ น.15 และ เอสซอมเบ้ น.18 แต่เจ้าถิ่นก็มาตีไข่แตกได้จาก จาจ้า น.24 จบครึ่งแรก บุรีรัมย์ ตามอยู่ 1-3
ครึ่งหลังเจ้าถิ่นบุกหนักและก็มาตามตีเสมอได้ 3-3 จาก จาจ้า คนเดิม น.63 และจุดโทษของ ดิโอโก้ น.68 และเกมมาถึงช่วงทดเจ็บทำท่าจะแบ่งแต้มกันไป แต่ช่วงทดเวลานาทีสุดท้าย มาเช เอสซอมเบ้ มายิงประตูชัยให้ราชันมังกรบุกมาชนะแบบสุดมันส์ 4-3 ถือเป็นทีมแรกที่บุกมาชนะบุรีรัมย์ถึงถิ่นในฤดูกาลนี้ และเป็นปีที่สองติดต่อกันทีมราชบุรี ทำได้ เกมนี้มีความมันส์ตลอด 90 นาที ชนิดละสายตาไม่ได้เลย เราจึงยกให้เป็นเกมที่สนุกที่สุดในเลกแรกที่ผ่านมา
9. พาวเวอร์ไม่ชนะใครเลย
เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมากที่จะมีทีมไหนลงเตะ 17 เกม แค่ไม่ชนะใครเลย แถมยังแพ้ถึง 16 เกม และเสมอ 1 นัด ยังดีที่เก็บมาได้ 1 แต้ม สำหรับทีมซูเปอร์พาวเวอร์ ของ เจสัน วิธ แต่ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับเรื่องศักยภาพตัวผู่เล่นและงบประมาณการทำทีม แม้จะรู้ว่าตัวเองเป็นรองคู่แข่งทุกนัด แต่ก็ยังคงเล่นด้วยสปิริตทุกทีม วิ่งสู้ทุกนัด ไม่มีเกมไหนที่เดอะพาวเวอร์เล่นแบบเหยาะแหยะ ยอมแพ้แบบง่ายๆ พวกเขาก็ยังคงสู้ทุกนัด อันนี้ต้องชื่นชมเรื่องสปิริต ส่วนฤดูกาลนี้จะชนะเป็นไหมคงต้องติดตามกัน แต่ดูแล้วก็น่าจะเป็นปีสุดท้ายของทีมที่เก่าแก่ที่สุดทีมนึงในวงการฟุตบอลไทยอย่างโอสถสภาฯ ชื่อเก่า ถ้าตกชั้นไปก็มีแนวโน้มจะสลายโต๋กันไปในฤดูกาลหน้า
10. เปลี่ยนโค้ชกันไป 5 คน
เรื่องสุดท้ายก็เป็นเรื่องของการปรับเปลี่ยนกุนซือ ในเลกแรกมีการปลดโค้ช แยกทางกันไป 5 ทีมด้วยกัน ทำให้ไทยลีกถูกขนานนามว่า "ลีกกินโค้ช" เลยทีเดียว ทีมแรกที่มีการเปลี่ยนโค้ชก็คือ ศรีสะเกษ เอฟซี ที่เปลี่ยนจาก "โค้ชโอ่ง" ดุสิต เฉลิมแสน มาเป็น เวลิซาร์ โปปอฟ กุนซือบัลแกเรีย,ต่อมาคือ สุโขทัย ที่เปลี่ยนจาก สมชาย มากมูล มาเป็น "โค้ชเบ๊" ไพโรจน์ บวรวัฒนดิลก ทีมที่สามคือ ซูเปอร์พาวเวอร์ ที่เปลี่ยนจาก "โค้ชหนุ่ย" เฉลิมวุฒิ สง่าพล มาเป็น เจสัน วิธ กุนซืออังกฤษ ทีมที่สี่ สุพรรณบุรี เอฟซี ที่เปลี่ยนจาก เซจิโอ้ ฟาริอาส โค้ชบราซิลมาเป็น "โค้ชโย่ง" วรวุธ ศรีมะฆะ และ ล่าสุด "โค้ชโย่ง" ก็ลาทีมไปเรียบร้อยเพราะมาคุมแบบสั้นๆ ตอนนี้ก็เป็น อเดบาโย่ กาเดโบ่ ผอ.สโมสรคุมทีมชั่วคราวไปก่อน ส่วนเลกสองจะมีใครเข้ามาต้องรอดูกัน และทีมสุดท้ายก็คือ ไทย ฮอนด้า ที่เปลี่ยนจาก "โค้ชโต่ย" ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย มาเป็น ลีโอนาร์โด เนย์วา กุนซือชาวบราซิล ซึ่งแน่นอนว่าเลกสองก็คงมีการเปลี่ยนแปลงอีกแน่ๆ ต้องรอดูกันว่าทีมไหนและใครจะเป็นรายต่อไป