7 ปีที่รอคอยขอ "กว่างโซ้งมหาภัย" ในการลบล้างอาถรรพ์คว่ำ สิงห์เจ้าท่า
7 ปีที่รอคอย ลบอาถรรพ์คว่ำ สิงห์เจ้าท่า
ผ่านไปแล้ว 24 นัดของศึกการแข่งขัน โตโยต้าไทยลีก 2017 โดยในนัดนี้ “ทัพกว่างโซ้งมหาภัย” สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ต้องออกไปเยือนถิ่นของ “สิงห์เจ้าท่า” การท่าเรือ เอฟซี
ซึ่งเมื่อในเลกแรกนั้นทางด้าน สิงห์ เชียงรา ยูไนเต็ด เปิดบ้านแพ้มาก่อนด้วยสกอร์ 3-1 และถ้าเรามองสถิติย้อนกลับไปนั้นทั้ง 2 ทีมเคยเจอกันครั้งแรกในการแข่งขันโตโยต้าไทยลีกปี 2011 จนกระทั้งปัจจุบันปี 2017
นับว่าเป็นเวลาถึง 7 ปี ที่กว่างโซ้งมหาภัย ไม่เคยที่จะคว่ำ สิงห์เจ้าท่าได้เลยแม้แต่เกมส์เดียว (เฉพาะการแข่งขันโตโยต้าไทยลีก) ซึ่งในเกมส์เมื่อวานที่ผ่านมาก็เช่นกัน ก่อนเกมส์การแข่งขันจะเริ่มขึ้น
แฟนๆกว่างโซ้งฯต่างร่วมกันส่งแรงใจให้กับเหล่าขุนพลกว่างโซ้งฯในการที่จะคว้าแต้มกลับมาให้ได้และเพื่อเป็นการลบสถิติในการไม่เคยชนะสิงห์เจ้าท่าได้เลย แต่ก็ยังคงมีอีกบางเสียงที่ยังบอกว่า ท่าเรือเป็นเหมือนของแสลง เชียงราย
ก่อนเริ่มเกมส์นั้นเหล่าแฟนบอลของเจ้าบ้านเริ่มที่จะทยอยกันเข้ามาจนเต็มสนามแพตสเตเดียม ทำให้เสียงเชียร์ดังกึกก้องไปทั่วสนาม แต่ไม่ว่าแฟนบอลเจ้าบ้านจะหนาตามากแค่ไหนก็มิอาจจะบดบังผู้เล่นหมายเลข 12 ของสิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ดไปได้
กองเชียร์ที่คอยตามเชียร์ทีมบ้านเกิดของตัวเอง ตามเชียร์ทีมรักของตัวเอง ทำให้เสียงเชียร์นั้นดังกึกก้องไปทั่วสนามไม่แพ้กับกองเชียร์ของเจ้าบ้าน จากนั้นเวลา 1 ทุ่มตรง เสียงนกหวีดจากผู้ตัดสินเริ่มขึ้นนั้นหมายความว่าเป็นสัญญาณของการเปิดศึกฟาดแข้งที่มีมากกว่าคำว่าชัยชนะ มากกว่าคำว่า 3 แต้ม
แต่มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีว่าวันนี้เราจะมาลบสถิติในการล้มสิงห์เจ้าท่าให้ได้ในรังของพวกเขาเอง แต่แล้วเกมส์เริ่มได้ยังไม่ถึง 5 นาที ทัพกว่างโซ้งฯต้องได้รับข่าวร้ายเมื่อ “เจ้าตั้ม” ธนบูรณ์ เกษารัตน์ต้องถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนามทันทีจากการเข้าปะทะกับผู้เล่นของการท่าเรือ เอฟซี
ทำให้อเล็กซานเดร กาม่า ต้องตัดสินใจส่งซ้ายสังหาร “เจ้าเฟย” ศิวกรณ์ เตียตระกูล ลงมาแทน จากนั้นเกมส์เดินมาถึงในนาทีที่ 17 ซ้ายของเจ้าเฟย กลับมาแผลงฤทธิ์ อีกครั้งจากการเปิดมุมบอลโยนมาเข้าหัว ประทุม ชูทอง เข้าประตูไปอย่างสวยงาม และเป็นลูกแรกในฤดูกาลนี้อีกด้วย ทำให้แฟนๆกว่างโซ้งฯต่างหายใจได้ทั่วท้องอีกครั้ง จากนั้นทั้ง 2 ทีมเปิดเกมส์บุกแลกกันจบครึ่งแรกเป็นทางฝั่งทีมเยือนออกนำไปก่อน 1-0
เริ่มเกมส์ครึ่งหลัง โค้ชซิโก้ คงจะแก้เกมส์มาดีทางฝั่งสิงห์เจ้าท่าเล่นเกมส์บุกอย่างหนักจน ได้ประตูตีเสมอจากลูกจุดโทษ ไล่มาเป็น 1-1 แต่ถึงแม้ไม่ว่าจะบุกหนักยังไง ยิงหนักก็ไม่สามารถผ่านมือของ “เจ้านนท์” นนท์ ม่วงงาม นายทวารดาวรุ่งดีกรีทัพช้างศึก ชุดU23 ไปได้
ซึ่งถือว่าโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมทั้งในสโมสรและทีมชาติ เกมส์ดูเหมือนทำท่าว่าจะจบแบบหนังม้วนเดิมคือ ไม่เสมอ ก็แพ้ เพราะเจ้าถิ่นเปิดเกมส์บุกอย่างหนัก แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นในนาทีที่66 วานเดอร์ หลุยซ์เปิดบอลจากริมเส้นฝั่งขวาไปให้เฟลิเป้ อเซเวโด้พุ่งโหม่งบอลเข้าประตูไปอย่างสวยงาม
ทำให้ทัพกว่างโซ้งฯออกนำอีกครั้งเป็น 2-1 หลังจากนำแล้วคาดว่าทางฝั่งของสิงห์เจ้าท่าจะถอดใจแต่ความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้นเลย ทางเจ้าบ้านเปิดเกมส์บุกอย่างต่อเนื่อง และยังเล่นเกมส์หนักอยู่ตลอดทั้งเกมส์ แต่ด้วยความใจเย็นและมีสมาธิในเกมส์ของขุนพลกว่างโซ้งฯ
ทำให้หลายๆจังหวะได้มีโอกาสโต้กลับได้อย่างน่ากลัวเช่นกัน ต้องยอมรับตามตรงว่า ทั้งแฟนบอล,นักเตะ และทีมสตาฟโค้ช ต่างรู้สึกอึดอัดและกดดันเป็นอย่างมากในเกมส์นัดนี้ ตลอดเวลา 90 นาที เป็นเหมือนดั่งเวลาที่ผ่านไปอย่างเนิ่นนาน จนกระทั้งเสียงนกหวีดดังขึ้น
หมดเวลาการแข่งขัน ความรู้สึกของทุกคนเหมือนยกดอยตุงออกจากอก มันเป็นความรู้สึกที่พูดไม่ออกทุกคนดีใจในการลบล้างอาถรรพ์ ที่ไม่เคยคว่ำสิงห์เจ้าท่าตลอดทั้ง 7 ปีที่ผ่านมา จนวันนี้
พวกเราสามารถทำได้ ขอบคุณแฟนบอลที่ร่วมเชียร์ตลอดมา ขอบคุณแฟนบอลที่พวกคุณสู้เคียงข้างกันเสมอมา และพวกเราจะร่วมใจกันสู้อีกครั้งเพราะ “ถ้าหัวใจคุณเคยเป็นสีส้มสักครั้งหนึ่ง มันจะเป็นแบบนี้ตลอดไป” ONCE AN ORANGE ALWAYS AN ORANGE
ผ่านไปแล้ว 24 นัดของศึกการแข่งขัน โตโยต้าไทยลีก 2017 โดยในนัดนี้ “ทัพกว่างโซ้งมหาภัย” สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ต้องออกไปเยือนถิ่นของ “สิงห์เจ้าท่า” การท่าเรือ เอฟซี
ซึ่งเมื่อในเลกแรกนั้นทางด้าน สิงห์ เชียงรา ยูไนเต็ด เปิดบ้านแพ้มาก่อนด้วยสกอร์ 3-1 และถ้าเรามองสถิติย้อนกลับไปนั้นทั้ง 2 ทีมเคยเจอกันครั้งแรกในการแข่งขันโตโยต้าไทยลีกปี 2011 จนกระทั้งปัจจุบันปี 2017
นับว่าเป็นเวลาถึง 7 ปี ที่กว่างโซ้งมหาภัย ไม่เคยที่จะคว่ำ สิงห์เจ้าท่าได้เลยแม้แต่เกมส์เดียว (เฉพาะการแข่งขันโตโยต้าไทยลีก) ซึ่งในเกมส์เมื่อวานที่ผ่านมาก็เช่นกัน ก่อนเกมส์การแข่งขันจะเริ่มขึ้น
แฟนๆกว่างโซ้งฯต่างร่วมกันส่งแรงใจให้กับเหล่าขุนพลกว่างโซ้งฯในการที่จะคว้าแต้มกลับมาให้ได้และเพื่อเป็นการลบสถิติในการไม่เคยชนะสิงห์เจ้าท่าได้เลย แต่ก็ยังคงมีอีกบางเสียงที่ยังบอกว่า ท่าเรือเป็นเหมือนของแสลง เชียงราย
ก่อนเริ่มเกมส์นั้นเหล่าแฟนบอลของเจ้าบ้านเริ่มที่จะทยอยกันเข้ามาจนเต็มสนามแพตสเตเดียม ทำให้เสียงเชียร์ดังกึกก้องไปทั่วสนาม แต่ไม่ว่าแฟนบอลเจ้าบ้านจะหนาตามากแค่ไหนก็มิอาจจะบดบังผู้เล่นหมายเลข 12 ของสิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ดไปได้
กองเชียร์ที่คอยตามเชียร์ทีมบ้านเกิดของตัวเอง ตามเชียร์ทีมรักของตัวเอง ทำให้เสียงเชียร์นั้นดังกึกก้องไปทั่วสนามไม่แพ้กับกองเชียร์ของเจ้าบ้าน จากนั้นเวลา 1 ทุ่มตรง เสียงนกหวีดจากผู้ตัดสินเริ่มขึ้นนั้นหมายความว่าเป็นสัญญาณของการเปิดศึกฟาดแข้งที่มีมากกว่าคำว่าชัยชนะ มากกว่าคำว่า 3 แต้ม
แต่มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีว่าวันนี้เราจะมาลบสถิติในการล้มสิงห์เจ้าท่าให้ได้ในรังของพวกเขาเอง แต่แล้วเกมส์เริ่มได้ยังไม่ถึง 5 นาที ทัพกว่างโซ้งฯต้องได้รับข่าวร้ายเมื่อ “เจ้าตั้ม” ธนบูรณ์ เกษารัตน์ต้องถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนามทันทีจากการเข้าปะทะกับผู้เล่นของการท่าเรือ เอฟซี
ทำให้อเล็กซานเดร กาม่า ต้องตัดสินใจส่งซ้ายสังหาร “เจ้าเฟย” ศิวกรณ์ เตียตระกูล ลงมาแทน จากนั้นเกมส์เดินมาถึงในนาทีที่ 17 ซ้ายของเจ้าเฟย กลับมาแผลงฤทธิ์ อีกครั้งจากการเปิดมุมบอลโยนมาเข้าหัว ประทุม ชูทอง เข้าประตูไปอย่างสวยงาม และเป็นลูกแรกในฤดูกาลนี้อีกด้วย ทำให้แฟนๆกว่างโซ้งฯต่างหายใจได้ทั่วท้องอีกครั้ง จากนั้นทั้ง 2 ทีมเปิดเกมส์บุกแลกกันจบครึ่งแรกเป็นทางฝั่งทีมเยือนออกนำไปก่อน 1-0
เริ่มเกมส์ครึ่งหลัง โค้ชซิโก้ คงจะแก้เกมส์มาดีทางฝั่งสิงห์เจ้าท่าเล่นเกมส์บุกอย่างหนักจน ได้ประตูตีเสมอจากลูกจุดโทษ ไล่มาเป็น 1-1 แต่ถึงแม้ไม่ว่าจะบุกหนักยังไง ยิงหนักก็ไม่สามารถผ่านมือของ “เจ้านนท์” นนท์ ม่วงงาม นายทวารดาวรุ่งดีกรีทัพช้างศึก ชุดU23 ไปได้
ซึ่งถือว่าโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมทั้งในสโมสรและทีมชาติ เกมส์ดูเหมือนทำท่าว่าจะจบแบบหนังม้วนเดิมคือ ไม่เสมอ ก็แพ้ เพราะเจ้าถิ่นเปิดเกมส์บุกอย่างหนัก แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นในนาทีที่66 วานเดอร์ หลุยซ์เปิดบอลจากริมเส้นฝั่งขวาไปให้เฟลิเป้ อเซเวโด้พุ่งโหม่งบอลเข้าประตูไปอย่างสวยงาม
ทำให้ทัพกว่างโซ้งฯออกนำอีกครั้งเป็น 2-1 หลังจากนำแล้วคาดว่าทางฝั่งของสิงห์เจ้าท่าจะถอดใจแต่ความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้นเลย ทางเจ้าบ้านเปิดเกมส์บุกอย่างต่อเนื่อง และยังเล่นเกมส์หนักอยู่ตลอดทั้งเกมส์ แต่ด้วยความใจเย็นและมีสมาธิในเกมส์ของขุนพลกว่างโซ้งฯ
ทำให้หลายๆจังหวะได้มีโอกาสโต้กลับได้อย่างน่ากลัวเช่นกัน ต้องยอมรับตามตรงว่า ทั้งแฟนบอล,นักเตะ และทีมสตาฟโค้ช ต่างรู้สึกอึดอัดและกดดันเป็นอย่างมากในเกมส์นัดนี้ ตลอดเวลา 90 นาที เป็นเหมือนดั่งเวลาที่ผ่านไปอย่างเนิ่นนาน จนกระทั้งเสียงนกหวีดดังขึ้น
หมดเวลาการแข่งขัน ความรู้สึกของทุกคนเหมือนยกดอยตุงออกจากอก มันเป็นความรู้สึกที่พูดไม่ออกทุกคนดีใจในการลบล้างอาถรรพ์ ที่ไม่เคยคว่ำสิงห์เจ้าท่าตลอดทั้ง 7 ปีที่ผ่านมา จนวันนี้
พวกเราสามารถทำได้ ขอบคุณแฟนบอลที่ร่วมเชียร์ตลอดมา ขอบคุณแฟนบอลที่พวกคุณสู้เคียงข้างกันเสมอมา และพวกเราจะร่วมใจกันสู้อีกครั้งเพราะ “ถ้าหัวใจคุณเคยเป็นสีส้มสักครั้งหนึ่ง มันจะเป็นแบบนี้ตลอดไป” ONCE AN ORANGE ALWAYS AN ORANGE